หลายปีก่อน สมัยผู้เขียนเริ่มรับราชการเป็นนายสิบใหม่
มีรุ่นพี่นายสิบอาวุโสนายหนึ่งมักจะท่องกลอนบทหนึ่งที่แกเรียกว่าเป็น “บทกวีขี้เมา”
ให้ฟังจนผู้เขียนจำได้แม่นยำ
“ คุกตะรางสร้างไว้อย่างแน่นหนา
เพียงเพื่อขังหมูหมาก็หาไม่
ใช่เพียงขังคนชั่วโดยทั่วไป
คนธรรมดาก็ ( ถูก )ขังได้ ถ้า............”
ช่องว่างที่เว้นไว้
คือสาเหตุบางประการที่จะทำให้ทหารถูก “ สั่งขัง” ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่กรณี
บทกลอนดังกล่าวทำให้ผู้เขียนฉุกคิดขึ้นมาในตอนนั้นว่า
คุกหรือห้องขัง ( ทางทหาร ) คือปลายทางอย่างเดียวสำหรับทหารที่กระทำผิด
หรือถูกกระทำความผิดกระนั้นหรือ เพราะจากบทกลอนสะท้อนแนวคิดของนายสิบอาวุโสคนดังกล่าว
ประกอบกับการได้เห็นเพื่อนร่วมงานบางคนถูก “สั่งขัง” เป็นว่าเล่น
ก็เกือบจะทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆในตอนนั้น
จนกระทั่งผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษากฎหมาย
โดยเฉพาะกฎหมายทหาร ทำให้ได้รับการไขข้อข้องใจว่า แท้จริงแล้ว
ชะตากรรมของทหารที่กระทำผิดหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดนั้น
มิใช่เพียงแต่จะถูกส่งไปนอนในพื้นที่ควบคุมของทหารตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเพียงอย่างเดียว
หากแต่ยังมีเส้นทางและกระบวนการดำเนินการโดยทางอื่นนอกเหนือจากการพิจารณาลงทัณฑ์โดยผู้บังคับบัญชาที่บางครั้งก็ไม่มีหลักประกันความเป็นธรรมเท่าที่ควร
ซึ่งผู้เขียนได้ทำเป็นแผนผังเพื่อความเข้าใจตามที่แนบท้ายบทความนี้
เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทหารที่กระทำผิดจะถูกแยกดำเนินการตามลักษณะความผิด ๔
ประเภทหลักๆ ได้แก่
๑.
กรณีทหารกระทำผิดวินัยทหาร
๒.
กรณีทหารกระทำผิดอาญา ซึ่งแยกย่อยออกเป็น กระทำผิดอาญาทหาร
และกระทำผิดอาญาตามกฎหมายบ้านเมือง
๓.
กรณีทหารกระทำผิดทางแพ่ง
๔.
กรณีทหารกระทำผิดตามกฎหมายปกครอง ( กระทำผิดในฐานะเจ้าพนักงาน
)
กรณีแรก
เมื่อทหารกระทำผิดวินัยทหาร
เป็นกรณีที่เกิดขึ้นมากที่สุดทหาร
อาจเรียกได้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ทหารคนใดจะไม่เคยกระทำผิดวินัยทหาร
เพราะวินัยทหารเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับทหารในฐานะที่เป็นเสมือนเครื่องมือควบคุมให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยอันเป็นอัตตลักษณ์ประการหนึ่งของสังคมทหาร
เฉกเช่นเดียวกับหลักศีลธรรมทางศาสนา หรือขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่กำหนดขึ้นเพื่อกำกับดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมพลเรือน
การกระทำผิดวินัยทหารก็เช่นเดียวกับการทำผิดหลักศีลธรรมหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม
ที่มีตั้งแต่ความผิดเล็กๆน้อยๆซึ่งผู้กระทำผิดอาจเพียงได้รับการตักเตือนหรือคาดโทษ
เพื่อมิให้กระทำการเช่นนั้นอีก ไปจนถึงความผิดบางประการที่หนักหนาสาหัสต้องลงโทษสถานหนักเพื่อให้เข็ดหลาบและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่กำลังพลอื่นๆ
รวมไปถึงการกระทำความผิดอาญาทหารบางประการที่ผู้บังคับบัญชาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ
ก็อาจจะพิจารณาให้ถือเป็นความผิดวินัย และดำเนินการทางวินัยแทนการดำเนินคดีในศาลได้
(
ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา ๘ )
การดำเนินการต่อทหารที่กระทำผิดวินัย
จะไปตามดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา
ประกอบหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ.๒๔๗๖ ที่กำหนดแนวทางทั่วไปโดยกว้างๆในการพิจารณาเพื่อดำเนินการ
เช่น ลักษณะการกระทำที่อาจถือเป็นความผิดวินัย ขอบเขตอำนาจและวิธีการลงทัณฑ์สำหรับผู้กระทำผิด
แนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
กระบวนการดำเนินการจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการกระทำความผิด ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดนั้นได้กระทำผิดจริง
อันจะเป็นการป้องกันมิให้มีการลงทัณฑ์โดยไม่เป็นธรรมหรือลงทัณฑ์แก่ผู้ที่ไม่มีความผิดชัดเจน
( พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารฯมาตรา ๑๓ ) โดยปกติจะใช้วิธีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในการกระทำความผิด
ซึ่งสามารถใช้สำนวนการสอบสวนเป็นหลักฐานในการดำเนินการได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มิได้มีบทบังคับว่าทุกครั้งจะต้องมีการสอบสวนก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถลงทัณฑ์ได้
ในกรณีที่มีหลักฐานอื่นๆที่แสดงให้เห็นว่าปรากฎความผิดชัดเจน
ก็สามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องมีการสอบสวน
เมื่อได้ผลการพิจารณาถ้วนถี่แล้วว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดจริง
ก็จะได้รับผลแห่งการกระทำใน ๒ ลักษณะ ( อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง
) ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารฯมาตรา ๗ คือ
ประการแรก
ถูกพิจารณาลงทัณฑ์โดยผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจพิจารณาลงทัณฑ์ในชั้นต่างๆ
ตามที่ระบุไว้ตามมาตรา ๑๐ , ๑๑ แห่ง
พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารฯ โดยรูปแบบการลงทัณฑ์จะกระทำได้
๕ ลักษณะ ( พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารฯมาตรา
๘ , ๙ ) ได้แก่ ภาคทัณฑ์ ( คาดโทษ,ทำทัณฑ์บน
) ทัณฑกรรม ( ให้ทำงานอื่นๆเพิ่มเติมจากหน้าที่ประจำ
) กัก ( จำกัดบริเวณให้อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด
) ขัง ( ควบคุมตัวในห้องขังทหารหรือพื้นที่ที่กำหนด ) และจำขัง
( ฝากขังในเรือนจำทหาร ) โดยมีขอบเขตการลงทัณฑ์ของผู้มีอำนาจลงทัณฑ์ในแต่ละระดับชั้นตามตารางกำหนดอำนาจการลงทัณฑ์ท้าย
พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารฯ ถ้าหากมีการลงทัณฑ์เกินขอบเขตอำนาจ
หรือกระทำในรูปแบบอื่นๆนอกเหนือจาก ๕ ลักษณะที่กำหนด เช่น
มีการลงมือทำร้ายร่างกาย แกล้งประจานให้ได้รับความอับอายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่ถือว่าเป็นการลงทัณฑ์โดยชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติ
ประการที่สอง
การดำเนินการทางปกครอง ด้วยการปลดออกกจากประจำการ หรือถูกถอดจากยศทหาร
- การปลดออกจากประจำการ
ใช้ในกรณีผู้กระทำความผิดหรือมีลักษณะตามที่ระบุในคำสั่ง ทบ.ที่ ๑๗๖/๒๕๐๘ ลง ๑๐
มิ.ย.๒๕๐๘ เรื่อง การหมุนเวียนกำลังพล ซึ่งข้อ ๑ ของคำสั่งดังกล่าวระบุพฤติการณ์
๑๑ ประการของข้าราชการที่หากกระทำจะต้องถูกปลดออกจากราชการทันที เช่น ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา
(
เป็นความผิดวินัยอย่างหนึ่ง ) จนเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการเป็นอันมาก
ประมาทเลินเล่อในหน้าที่จนเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการเป็นอันมาก , ขาด –
หนีราชการ เป็นต้น
- การถอดยศทหาร
ใช้สำหรับผู้ที่มีพฤติการณ์หรือลักษณะตามระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์
พ.ศ.๒๕๐๗
ซึ่งมีหลายประการที่เป็นลักษณะเดียวกับพฤติการณ์ที่จะต้องปลดออกจากราชการทันทีตามคำสั่ง
ทบ.ที่ ๑๗๖/๒๕๐๘ ซึ่งกล่าวไว้ข้างต้น เช่น ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
หนีราชการทหารในเวลาประจำการ ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นต้น ดังนั้น
ผู้กระทำผิดวินัยถึงขั้นถูกปลดจากราชการแล้วก็มักจะถูกถอดยศทหารด้วย
เว้นเสียแต่ตามระเบียบกระทรวงกลาโหมที่กล่าวถึงจะมิได้บัญญัติไว้ว่าต้องถอดยศด้วย
นอกจากนี้ผู้กระทำผิดวินัยยังอาจถูกดำเนินการโดยมาตรการทางปกครองอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เช่น การสั่งพักราชการ ( ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการทหารพักราชการ
พ.ศ.๒๕๐๘ ) การตัดหรืองดจ่ายเงินเดือน ( ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการตัด งด และจ่ายเงินเดือน พ.ศ.๒๕๐๔ ) เป็นต้น
กรณีที่สอง
เมื่อทหารกระทำความผิดอาญา
การกระทำความผิดอาญา หมายถึง
การกระทำผิดกฎหมายที่บัญญัติบทลงโทษทางอาญา เช่น โทษจำคุก โทษปรับ โทษประหารชีวิต
ซึ่งสำหรับทหารแล้ว มีกฎหมายอาญาที่บังคับใช้อยู่สองประเภท คือ กฎหมายอาญาทหาร และกฎหมายอาญาทั่วไป
ซึ่งหากทหารกระทำความผิดในแต่ละกลุ่มแล้วจะมีรายละเอียดกระบวนการดำเนินการที่แตกต่างกันไป
ดังนี้
๑.
การกระทำความผิดอาญาทหาร
ตามฐานความผิดต่างๆที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาทหารมาตรา ๑๓ – ๕๐ และมาตรา ๕๒ ๕๒ ผู้กระทำผิด ( ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
ตาม พ.ร.บ.ศาลทหาร มาตรา ๑๖ ) ต้องถูกดำเนินคดีในศาลทหาร โดยเริ่มจากการสอบสวนโดยผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทหาร ได้แก่ อัยการทหาร
นายทหารพระธรรมนูญ
นายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการสอบสวน
หรือพนักงานสอบสวน ( ตำรวจ )
ก่อนจะรวบรวมสำนวนการสอบสวนส่งให้อัยการทหารเป็นผู้พิจารณายื่นฟ้องคดีต่อศาล
จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลทหาร ซึ่งจะพิจารณาตามกฎหมาย กฎ
ข้อบังคับซึ่งออกตามกฎหมายฝ่ายทหาร หากไม่มีกฎหมาย กฎ
ข้อบังคับทางทหารที่จะปรับใช้ได้ ก็จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (
กฎหมายพลเรือน ) มาปรับใช้โดยอนุโลม
เพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษต่อไป
ซึ่งโทษทางอาญาทหารตามประมวลกฎหมายอาญาทหารนั้น
โดยหลักๆแล้วจะมีเพียงโทษจำคุกกับโทษประหารชีวิตเท่านั้น
๒.
การกระทำความผิดอาญาตามกฎหมายบ้านเมือง อันได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา
หรือกฎหมายอื่นๆที่มีโทษทางอาญา เช่น พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ , พ.ร.บ.การจราจรทางบกฯ
และ พ.ร.บ.ที่มีโทษทางอาญาอื่นๆ
ทหารที่กระทำความผิดกฎหมายดังกล่าวจะถูกดำเนินคดีในสองลักษณะ
ขึ้นอยู่กับผู้ร่วมกระทำความผิด อันได้แก่
๒.๑ หากทหารกระทำผิดเพียงลำพัง
หรือร่วมกระทำความผิดกับทหารด้วยกัน
หรือกับบุคคลอื่นๆซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ( ตาม พ.ร.บ.ศาลทหารฯ มาตรา ๑๖ ) เช่น
นักเรียนทหาร,
พลเรือนในสังกัดหน่วยงานทหาร ( เช่น ลูกจ้าง )
ที่กระทำผิดในหน้าที่ราชการทหารหรือทำผิดในพื้นที่ทหาร
,ผู้ที่ต้องขังหรืออยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยชอบด้วยกฎหมาย
หรือเชลยศึก ซึ่งเท่ากับว่าผู้กระทำผิดทั้งหมดล้วนเป็นบุคคลในอำนาจศาลทหาร
จึงต้องถูกดำเนินคดีในศาลทหารตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๑ ( แม้ว่าความผิดที่กระทำจะมิใช่ความผิดทางทหารก็ตาม
) เป็นการพิจารณาโดยยึดหลักเกณฑ์ที่ตัวบุคคลผู้กระทำผิด
๒.๒ หากมีผู้ร่วมกระทำความผิดแม้เพียงคนใดคนหนึ่งที่เป็นพลเรือนซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร
โดยมิใช่ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลและความผิดที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เฉพาะว่าผู้กระทำต้องขึ้นศาลทหารเท่านั้น
(
เช่น ประกาศ คสช. ฉบับที่ ๓๗ – ๓๘/๒๕๕๗ , ฉบับที่ ๔๓/๒๕๕๗ ,ฉบับที่
๕๐/๒๕๕๗ ) หรือหากเป็นความผิดที่กระทำนั้นเกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
คดีเหล่านี้จะถือว่าเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ผู้กระทำความผิดจะต้องถูกส่งไปดำเนินคดีในศาลพลเรือน( ศาลยุติธรรม ) เท่านั้น
(
ตาม พ.ร.บ.ศาลทหารฯ มาตรา ๑๔ ( ๑ ) ( ๒ ) และมาตรา ๑๕ วรรคแรก )
โดยเริ่มกระบวนการจากการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวน ( กรณีมีผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้กระทำความผิดถูกจับกุมตัว
) เพื่อรวบรวมสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาลยุติธรรมที่มีอำนาจพิจารณา
หรือผู้เสียหายอาจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลโดยตรง
จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จนมีคำพิพากษาที่ทำให้คดีถึงที่สุด ซึ่งอาจถูกลงโทษทางอาญาใน ๕
สถาน คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ( ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๘ )
หากมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือหนักกว่าจำคุกโดยไม่รอลงอาญา
ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาของศาลทหารหรือศาลยุติธรรม
ก็จะเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องถูกปลดจากราชการ ตามคำสั่ง ทบ.ที่ ๑๗๖/๒๕๐๘ ลง ๑๐ มิ.ย.๒๕๐๘ ข้อ
๑.๒ และต้องถูกถอดจากยศทหาร ตามระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ฯ
ข้อ ๒.๒
กรณีที่สาม
เมื่อทหารกระทำผิดทางแพ่ง
การกระทำผิดทางแพ่ง คือ
การกระทำผิดตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชน
บุคคลทั่วไป อันได้แก่ การทำนิติกรรมสัญญารูปแบบต่างๆเช่น ซื้อขาย กู้ยืม ค้ำประกัน
จำนอง จำนำ เป็นต้น , การทำละเมิดที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ,
คดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือมรดก , คดีหนี้สินต่างๆ ดังนี้เป็นต้น
ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางแพ่งจะต้องถูกฟ้องร้องและดำเนินคดีในศาลยุติธรรมที่มีอำนาจพิจารณา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อให้ศาลพิจารณาพิพากษาให้บังคับคดีตามฟ้องของโจทก์
เช่น ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ชำระหนี้
ให้กระทำการหรืองดเว้นการกระทำการต่างๆที่มีผลกระทบต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหาย
เมื่อทหารกระทำผิดทางแพ่ง เช่น
เป็นหนี้แล้วไม่ชำระ กระทำละเมิดต่อผู้อื่นและถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
ถูกภรรยาน้อยฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู ฯลฯ
หากผู้เสียหายฟ้องร้องและไม่สามารถไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมยอมความกันได้ ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยศาลยุติธรรมเพียงอย่างเดียว
เพราะไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลทหาร ( ศาลทหารพิจารณาเฉพาะคดีอาญา
)
กระบวนการพิจารณาคดีแพ่งของศาลยุติธรรม
จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ตั้งแต่มีการยื่นฟ้องจนกระทั่งมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ซึ่งผู้กระทำผิดที่เป็นจำเลยในคดีอาจต้องรับโทษทางแพ่ง ซึ่งปกติก็คือการชำระหนี้
ชำระค่าเสียหาย หรือบังคับคดีตามฟ้องโจทก์ดังที่กล่าวข้างต้น
ซึ่งแม้โทษจะไม่หนักเท่ากับคดีอาญา แต่ในบางคดีก็อาจส่งผลถึงสถานภาพหรือหน้าที่ราชการได้
เช่น ต้องคำพิพากษาว่ากระทำผิดทางแพ่งที่เข้าข่ายการประพฤติชั่วร้ายแรง
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นคนล้มละลายเพราะทำหนี้สินขึ้น หรือต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งเป็นการเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่เป็นอันมาก
ก็เข้าหลักเกณฑ์ที่จะถูกปลดออกจากราชการได้
และถ้าหากตกเป็นบุคคลล้มละลายเพราะทำหนี้สินขึ้นด้วยความทุจริตหรือเข้าข่ายประพฤติชั่วร้ายแรงก็ต้องถูกถอดจากยศทหาร
ตามระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ฯ
กรณีที่สี่
เมื่อทหารกระทำผิดตามกฎหมายปกครอง
กฎหมายปกครอง
เป็นกฎหมายมหาชนประเภทหนึ่ง
ที่บัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน
รวมถึงกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้อำนาจกับฝ่ายเอกชน ซึ่งตัวบทกฎหมายที่สำคัญ
ได้แก่ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ.๒๕๓๙ , พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙
และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒
ทหารและหน่วยงานทหารล้วนมีโอกาสตกเป็นผู้กระทำความตามกฎหมายปกครอง
หรือที่เรียกว่า “ คดีปกครอง” ได้ เนื่องจากหน่วยทหารทุกระดับที่เป็นส่วนราชการในกระทรวงกลาโหม
ถือเป็น “หน่วยงานทางปกครอง” ตามความหมายของกฎหมายปกครอง และข้าราชการทหารในหน่วยทหารก็อาจเป็น
“เจ้าหน้าที่ทางปกครอง ” ซึ่งซึ่งมีอำนาจในการ “ กระทำการทางปกครอง ” เช่น
ออกคำสั่งทางปกครอง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรืออาจทำสัญญากับเอกชนในลักษณะที่เป็น
“สัญญาทางปกครอง” ซึ่งหากปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบ ก่อให้เกิดผลกระทบ
ละเมิด หรือเกิดความเสียหายต่อคู่กรณี
ก็อาจถูกฟ้องร้องเป็นคดีปกครองและถูกดำเนินคดีในศาลปกครอง
ยกตัวอย่าง เช่น
ผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจออกคำสั่งเลื่อนชั้นเงินเดือน เลื่อนยศ คำสั่งปลด
หรือคำสั่งปรับย้ายกำลังพลโดยมิชอบ , ข้าราชการทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ใช้อำนาจหน้าที่ดังกล่าวกระทำละเมิดต่อประชาชน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
(
ซึ่งเป็นทั้งความผิดอาญาและอาจถูกดำเนินคดีปกครองด้วย ) ดังนี้เป็นต้น
เมื่อทหารหรือหน่วยทหารถูกฟ้องคดีปกครองโดยผู้เสียหายเป็นผู้ฟ้องคดี
ก็ต้องเข้าสู่การพิจารณาคดีโดยศาลปกครอง ผู้ถูกฟ้องคดีก็มีหน้าที่ยื่นคำให้การหรือพยานหลักฐานเพื่อแก้คดีเช่นเดียวกับจำเลยในศาลยุติธรรม
โดยศาลจะพิจารณาโดยระบบไต่สวน คือ
สามารถแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนอกเหนือจากพยานหลักฐานที่คู่กรณียื่นต่อศาลได้
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อคู่กรณีมากที่สุด
ก่อนจะมีคำพิพากษา โดยอาจสั่งให้เพิกถอนกฎ ระเบียบ
คำสั่งตามถูกฟ้องว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติใดๆเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
หรือสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แล้วแต่กรณี
โดยในการบังคับคดีปกครองนั้น
ปกติแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำผิดในทางปกครอง
หลักกฎหมายปกครองบัญญัติให้ฟ้องหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่นั้นๆ
หน่วยงานจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
แล้วค่อยไปไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่ผู้กระทำผิดภายหลัง
รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการตามกฎหมายปกครองที่เกี่ยวกับทหารมีมากพอสมควร
เกินกว่าที่จะนำมาอธิบายได้หมดในบทความนี้
ผู้เขียนจึงเพียงแต่สรุปภาพรวมในมุมกว้าง ซึ่งผู้สนใจสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์กรมพระธรรมนูญ
สำนักงานพระธรรมนูญเหล่าทัพต่างๆ ศาลปกครอง และหนังสือที่น่าสนใจ เช่น
คู่มือผู้บังคับหน่วยและฝ่ายอำนวยการทางทหารกับศาลปกครอง เขียนโดย พล.ท.ทวี
แจ่มจำรัส เป็นต้น และหากมีโอกาส
ผู้เขียนจะได้นำเสนอเรื่องนี้โดยเฉพาะต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผลแห่งการดำเนินการเมื่อทหารตกเป็นผู้กระทำผิดใน
๔ กรณีที่กล่าวมา ทหารผู้นั้นอาจได้รับผลแห่งการกระทำคือบทลงโทษตามผลการพิจารณาของผู้บังคับบัญชาหรือโดยคำพิพากษาของศาล
หรืออีกมุมหนึ่งก็อาจจะไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ใดๆในกรณีผลแห่งการพิจารณาไม่สามารถเอาผิดกับผู้นั้นได้ เช่น พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิด
ได้รับการปรานีผ่อนผัน หรือกรณีอื่นๆ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร
หากกระทำผิดจริงแล้ว โดยเฉพาะถ้ากระทำผิดโดยเจตนา
แม้ว่าอาจจะรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย
แต่ผู้เขียนเชื่อว่าสุดท้ายก็หนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม
ที่ผู้ใดทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลแห่งการกระทำของตน ดังที่มีคำกล่าวว่า “
บางครั้งกฎหมายอาจมีช่องโหว่ แต่กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ !! ”