๑. การอุทธรณ์ – ฎีกา
๑.๑
เมื่อคู่ความหรือผู้มีสิทธิอุทธรณ์ – ฎีกา ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ของศาลทหาร สามารถอุทธรณ์ – ฎีกาคำสั่งหรือคำพิพากษานั้นไปยังศาลทหารชั้นสูงกว่า
ดังนี้
๑.๑.๑
อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารชั้นต้นต่อศาลทหารกลาง
หรือฎีกาต่อศาลทหารสูงสุดโดยตรง ( อำนาจเพิ่มเติมของศาลทหารสูงสุด
แก้ไขเพิ่มเติม ตาม พ.ร.บ.ศาลทหารฯ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ.๒๕๕๘ )
๑.๑.๒
ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารกลาง ต่อศาลทหารสูงสุด
๑.๒ ผู้มีสิทธิยื่นอุทธรณ์
– ฎีกา และระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ – ฎีกา ตามแผนภาพ
๑.๓ ข้อห้ามในการอุทธรณ์ –
ฎีกา ตามแผนภาพ
๒.
การบังคับตามคำพิพากษา
๒.๑
ผู้ที่จะบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล คือ ผู้มีอำนาจลงโทษ ตาม
พ.ร.บ.ศาลทหารฯ (
มาตรา ๖๕ ) คือ
๒.๑.๑
นายทหารผู้บังคับบัญชาจำเลย
ตำแหน่งชั้นผู้บังบัญชาการกองพลหรือเทียบเท่าขึ้นไป หรือชั้นผู้บังคับกองพันขึ้นไป
ในกรณีที่อยู่ต่างถิ่นกับผู้บังคับบัญชาตำแหน่งชั้นผู้บัญชาการกองพล
๒.๑.๒
ผู้มีอำนาจแต่งตั้งศาลทหารชั้นต้น
สั่งลงโทษได้ในกรณีที่จำเลยอยู่ต่างถิ่นกับผู้บังคับบัญชา
หรือไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของทหาร
๒.๑.๓
ผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลประจำหน่วยทหารหรือศาลอาญาศึก สั่งลงโทษตามคำพิพากษาของศาลประจำหน่วยทหารหรือศาลอาญาศึกแล้วแต่กรณี
๒.๒
การดำเนินการบังคับตามคำพิพากษาของศาลทหาร
๒.๒.๑
คำพิพากษาของศาลทหารในเวลาปกติและศาลทหารในเวลาไม่ปกติ
ให้ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษจัดการให้เป็นไปตามคำพิพากษา
๒.๒.๒
คำพิพากษาของศาลพลเรือนที่ทำหน้าที่ศาลทหาร ( นั่งพิจารณา ณ ศาลพลเรือน
และมีผู้พิพากษาพลเรือนเป็นตุลาการ : ตาม
พ.ร.บ.ศาลทหารฯ มาตรา ๓๗ ) ให้ศาลนั้นบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
๒๔๕ วรรคหนึ่ง คือ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้บังคับคดีโดยไม่ชักช้า
ภายใต้เงื่อนไขและบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
๒.๒.๓
คำพิพากษาของศาลอาญาศึก หรือศาลที่พิจารราพิพากษาคดีแทนศาลอาญาศึก
ให้ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษ จัดการให้เป็นไปตามคำพิพากษา
เว้นแต่นักโทษประหารที่เป็นหญิงมีครรภ์ ให้รอให้คลอดบุตรก่อนแล้วจึงประหาร
๒.๓ คดีที่มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
และสามารถอุทธรณ์ได้ ตาม พ.ร.บ.ศาลทหารฯ ถ้าไม่มีการอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนคดีให้ศาลทหารกลางพิพากษายืนก่อนจึงจะถือว่าคำพิพากษาถึงที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น