๑. การฟ้องคดีต่อศาลทหาร
๑.๑
ผู้มีอำนาจฟ้องคดี ได้แก่
๑.๑.๑ ผู้เสียหาย
คือ ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
และต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
จึงจะมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลทหารในเวลาไม่ปกติ
ถ้าผู้เสียหายเป็นบุคคลที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร หรืออยู่ในอำนาจศาลทหารแต่ต้องฟ้องคดีต่อศาลทหารเวลาไม่ปกติ
ต้องมอบคดีให้อัยการทหารทหารเป็นผู้ฟ้อง
๑.๑.๒
อัยการทหาร
๑.๑.๓ ผู้เสียหายและอัยการทหาร ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคดีต่อศาลทหารในเวลาปกติ
๑.๒ การดำเนินการในการฟ้อง
๑.๒.๑
ถ้าอัยการทหารพิจารณาเห็นว่า คดีที่จะฟ้องนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร
สามารถส่งคดีไปให้พนักงานอัยการ ( อัยการพลเรือน ) ดำเนินคดีในศาลยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไปได้
โดยเมื่อพนักงานอัยการรับคดีไปแล้ว จะส่งย้อนกลับมาให้อัยการทหารไม่ได้
๑.๒.๒
การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
๑.๒.๒.๑
ผู้เสียหายที่ฟ้องคดี ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ศาลทหารบังคับทางแพ่ง ( เช่น เรียกร้องค่าเสียหาย )
ถ้าจะเรียกร้องต้องไปฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหาก
๑.๒.๒.๒
อัยการทหาร มีอำนาจฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต่อศาลทหาร
โดยร้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์สิน ใช้ราคาทรัพย์ หรือใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่รัฐบาล (
รวมถึงหน่วยงานนิติบุคคลที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล เช่น กองทัพ
เป็นต้น )
๒. การพิจารณาคดี
๒.๑
การแต่งทนายว่าความในศาลทหาร
๒.๑.๑
ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ฟ้องคดี สามารถแต่งทนายว่าความในศาลทหารในเวลาปกติได้ ( เพราะในศาลทหารในเวลาไม่ปกติต้องมอบให้อัยการทหารดำเนินคดีอยู่แล้ว )
ส่วนจำเลยสามารถแต่งทนายว่าความได้ในศาลทหารในเวลาปกติและศาลทหารในเวลาไม่ปกติ
๒.๑.๒
การตั้งทนายให้จำเลย ( พ.ร.บ.ศาลทหารฯมาตรา ๕๖ )
๒.๑.๒.๑ ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูง ๑๐
ปีขึ้นไป ศาลต้องถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มี ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลย
๒.๑.๒.๒
ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกมากกว่า ๕ ปี แต่ไม่ถึง ๑๐ ปี ถ้าจำเลยแถลงว่าจำเลยยากจน
และต้องการทนาย ให้ศาลจัดหาทนายให้จำเลย ( หมายความว่า
กรณีหลังนี้จำเลยต้องเป็นผู้เสนอความต้องการเอง )
๒.๑.๓
ทนายความที่จะว่าความในศาลทหารได้
จะต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมายทนายความและตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด
และได้รับอนุญาตจากศาลให้ว่าความได้ ( พ.ร.บ.ศาลทหารฯมาตรา
๕๕ วรรคสาม )
๒.๑.๔ ศาลอาญาศึก ไม่อนุญาตให้ศาลแต่งทนาย ( พ.ร.บ.ศาลทหารฯมาตรา ๕๕ )
๒.๒
การยื่นเรื่องราวขอโอนคดี ในกรณีที่มีเหตุผลที่อาจขัดขวางหรือไม่สะดวกในการดำเนินคดี
หรือไม่สามารถดำเนินคดีในศาลท้องถิ่นได้ โจทก์หรือจำเลยสามารถยื่นเรื่องราวต่อศาลขอให้โอนคดีไปยังศาลทหารแห่งอื่น
เมื่อศาลทหารสูงสุดอนุญาตก็สามารถโอนได้ โดยถือเป็นคำสั่งอันถึงที่สุด ( พ.ร.บ.ศาลทหารฯมาตรา ๕๗ )
๒.๓
ศาลทหารมีอำนาจส่งประเด็นไปให้ศาลทหารแห่งอื่นหรือศาลพลเรือนให้สืบพยานเพิ่มเติมได้ ( พ.ร.บ.ศาลทหารฯมาตรา ๕๘ )
๒.๔
ในกรณีจำเลยรับสารภาพและไม่ติดใจรับฟังการพิจารณาและสืบพยาน
ศาลจะไม่พิจารณาและสืบพยานต่อหน้าจำเลยก็ได้ ( พ.ร.บ.ศาลทหารฯมาตรา
๕๙ )
๒.๕
หากข้อเท็จจริงในทางพิจารณาของศาล แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง
ซึ่งปกติจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องโจทก์นั้น แต่หากเป็นข้อแตกต่างในรายละเอียด เช่น
เวลา สถานที่กระทำผิด
หรือแตกต่างกันในลักษณะความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ใกล้เคียงกัน
หรือแตกต่างกันระหว่างการกระทำโดยเจตนากับการกระทำโดยประมาท
ข้อแตกต่างเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญที่ศาลจะยกเป็นเหตุผลในการยกฟ้องโจทก์ได้
(
คือศาลจะยกฟ้องด้วยเหตุผลว่าข้อเท็จจริงในฟ้องแตกต่างจากข้อเท็จจริงในทางพิจารณาในเรื่องต่างๆที่กล่าวมานี้ไม่ได้
) ( พ.ร.บ.ศาลทหารฯมาตรา ๖๐ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น